รวมสูตรขนมทำเงิน งานทำที่บ้าน อาชีพทำเงิน รายได้เสริม ได้เงินดี
ขนมปุยฝ้าย
เงินลงทุน
ประมาณ 2,000 บาท รายได 250 บาท / แป้ง 1 กิโลกรัม วัสดุ / อุปกรณ์ กะละมังพลาสติก ถาด ถ้วยตวง เครื่องตีไข่ ตาชั่ง ถ้วยกระดาษ ถ้วยอลูมิเนียม ไม้พายยาว ถ้วย ช้อนแกง ตะแกรงร่อนแป้ง
แหล่งจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ ร้านค้าที่ขายอุปกรณ์ทำขนมทั่วไป
ส่วนผสม
แป้งสาลีตราบัวแดง 800 กรัม ผงฟู 4 ช้อนชา น้ำตาลทรายขาว 700 กรัม S.P. (เอส.พี) 8 ช้อนชา น้ำเปล่า 2 ถ้วยตวง นมจืด 1 ถ้วยตวง ไข่ไก่ 4 ฟอง น้ำมะนาว 6 ช้อน วานิลลา 1 ช้อนชา สีผสมอาหาร
วีธีทำ
1. นำแป้งกับผงฟูคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วนำไปร่อนด้วยตะแกรง เสร็จแล้วนำไปตากแดดทิ้งไว้
2. นำน้ำสะอาดใส่กะละมัง เติม S.P. ลงไป จากนั้นใช้เครื่องตีไข่ ตีให้ S.P. ละลายกับน้ำ เติมน้ำตาลทราย นมจืดและไข่ไก่ ใช้เครื่องตีอย่างต่ำ 20 นาทีขึ้นไป ให้ขึ้นฟูเป็นเนื้อครีม จากนั้นเติมน้ำมะนาว วานิลลา และตีต่อให้ส่วนผสมเข้ากัน
3. นำแป้งที่ตากแดด มาใส่ลงในส่วนผสมที่ตีไว้ กวนด้วยไม้พายบางให้เป็นเนื้อเดียวกันทั้งหมด หากอยากให้ขนมเป็นสีขาวก็ไม่ต้องเติมสี แต่ถ้าจะให้เป็นหลายสีก็แบ่งใส่ถ้วยแล้วใส่สีผสมอาหารลงไปเล็กน้อย
4. เตรียมถาดอลูมิเนียมพร้อมกับนำถ้วยกระดาษใส่ลงในถ้วยอลูมิเนียม จากนั้นนำแป้งที่เตรียมไว้มาหยอดใส่ถ้วยขนม โดยใช้ช้อนแกงตักหยอดให้เต็มถ้วย ขนมปุยฝ้าย (ต่อ)
5. นำขนมวางเรียงบนลังถึงให้เต็ม ยกขึ้นตั้งบนน้ำเดือด นึ่งนานสัก 5 นาที ก็ยกลง ถอดถ้วยอลูมิเนียมออกจากถ้วยขนม ทิ้งไว้ให้เย็นบรรจุถุงขาย
ตลาด / แหล่งจำหน่าย
ขายส่งมินิมาร์ท ร้านค้าทั่วไป หรือขายเองแถวย่านที่มีคนพลุกพล่าน
ข้อแนะนำ
1. เวลาตีแป้งต้องตีไปทางเดียวกัน ห้ามตีย้อนไปย้อนมาเพราะส่วนผสมจะละเอียดไม่เท่ากัน และต้องตีด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอกัน
2. เวลานึ่งต้องให้น้ำเดือดจัด และนึ่งครั้งต่อไปต้องเช็ดไอน้ำที่เกาะอยู่ในฝาลังถึงก่อนปิดฝาทุกครั้ง ไม่อย่างนั้น ไอน้ำจะหยดลงใส่ขนมทำให้ขนมไม่สวย และเป็นก้อนแป้งแข็ง
3. หากต้องการให้ขนมมีสีสันสวยงามแปลกตาก็ให้หยอดถ้วยละ 2 สี
ขนมใส่ไส้
เงินลงทุน
ครั้งแรกประมาณ 2,500 บาท รายได 240 บาท / 120 ห่อ
วัสดุ / อุปกรณ์
เตาแก๊สขนาดเล็ก กระทะทองเหลือง ไม้พาย ลังถึง หม้ออลูมิเนียม กะละมังอลูมิเนียม ช้อน กรรไกร ใบตอง ก้านมะพร้าว ไม้กลัด
แหล่งจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์
แถวย่านเวิ้งนาครเกษม ร้านขายอุปกรณ์ทำขนมทั่วไป
วิธีทำ
1. ขั้นตอนทำไส้ขนม
ส่วนผสม
น้ำตาลปี๊บ 2 ถ้วย เกลือป่น 2 ช้อนโต๊ะ มะพร้างทึนทึกขูดฝอย 4 ถ้วย
วีธีทำไส้ขนม
1. ตั้งกระทะทองเหลืองบนเตาใช้ไฟอ่อน ใส่น้ำตาลปี๊บ มะพร้าวทึนทึกขูดฝอยและเกลือป่นลงไปพร้อมกันใช้ไม้พายเคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนกว่าส่วนผสมเข้ากันเป็นเนื้อเดียว และแห้งพอหมาด ใช้เวลาเคี่ยวประมาณ 20 - 30 นาที จึงจะใช้ได้ 2. ตักไส้ขนมขึ้นมาพักไว้ให้เย็นประมาณ 10 นาที แล้วนำมาปั้นเป็นก้อนกลมเล็ก ๆ ขนาดเล็กกว่าลูกชิ้น ตั้งพักไว้
2. ขั้นตอนการนวดแป้ง
ส่วนผสม
แป้งข้างเหนียว 1 กิโลกรัม น้ำเปล่า 1 กิโลกรัม น้ำใบเตยคั้น 1 ถ้วย
วิธีการนวดแป้ง
1. เทแป้งข้าวเหนียวลงในกะละมังอลูมิเนียม ตามด้วยน้ำและน้ำใบเตยคั้นลงไป ใช้มือนวดแป้งไปเรื่อย ๆ จนกว่าแป้งจะเข้ากันดีกับน้ำใบเตย
2. ถ้าหากนวดเสร็จแล้วแป้งยังแข็งอยู่ ค่อย ๆ เติมน้ำเปล่าเพิ่มไปอีกเล็กน้อย นวดอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้แป้งนิ่มขึ้นเวลานำมาห่อใส่ขนมจะทำให้ห่อได้สะดวก
3. ขั้นตอนการห่อไส้ขนม
วิธีห่อไส้ขนม
1. หยิบแป้งขึ้นมาพอประมาณ บีบแป้งให้แบออกเป็นแผ่นกลม นำไส้ขนมวางลงบนแผ่นแป้ง
2. บีบแป้งให้ปิดไส้ขนมแล้วปั้นเป็นก้อนกลม ขนาดเท่าลูกชิ้นปิ้ง พักไว้
4. ขั้นตอนทำหน้าขนม
ส่วนผสม
น้ำกะทิ 2 กิโลกรัม น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย เกลือ 2 ช้อนโต๊ะ แป้งข้าวเจ้า 3 ถ้วย กลิ่นมะลิ 1 - 2 ช้อนชา
วิธีทำหน้าขนม
1. ละลายแป้งข้าวเจ้ากับน้ำกะทิ น้ำตาลทราย เกลือ กลิ่นมะลิ ลงในหม้ออลูมิเนียม
2. ยกขึ้นตั้งไฟอ่อน ๆ ใช้ไม้พายกวนไปเรื่อย ๆ จนกว่าแป้งจะเหนียวข้นเหมือนกาว
5. ขั้นตอนการห่อขนม
1. เตรียมใบตอง 2 ขนาด คือ ใบตองชั้นนอก ใช้ทางยาวฉีกกว้างประมาณ 6 นิ้ว ยาว 8 นิ้ว ใบตองชั้นในใช้ทางขวางฉีกกว้างประมาณ 5 นิ้ว ยาวประมาณ 6 นิ้ว
2. เจียนใบตองชั้นนอกให้เป็นรูปรี ขนาด 5 x 8 นิ้ว และใบตองชั้นในขนาด 4 x 6 นิ้ว ใบมะพร้าว กว้าง 0.5 นิ้ว ยาว 12 นิ้ว เตรียมไม้กลัดไว้ด้วย
3. เมื่อเตรียมอุปกรณ์เสร็จแล้ว นำใบตองชั้นในวางบนใบตองชั้นนอก โดยให้ด้านสีอ่อนทั้งสองประกบกัน วางบนมือตักหน้าขนม 1 ช้อนลงบนใบตอง ใส่ไส้ขนมลงไป 1 ลูก ตักหน้าขนมใส่อีก 1.5 ช้อนโต๊ะ ปิดไส้ขนม
4. เริ่มห่อใบตองจากทางขวางทั้งสองด้านก่อน จากนั้นห่อทางด้านยาวประกบเป็นทรงสูง ใช้ใบมะพร้าวคาดห่อขนมแล้วกลัดด้วยไม้กลัด
5. นำขนมที่ห่อเสร็จแล้วลงใส่ลังถึง นึ่งประมาณ 15 - 20 นาที เท่านี้ก็เสร็จ
ตลาด / แหล่งจำหน่าย
ย่านชุมชน ตลาดตอนเช้า
สถานที่ฝึกอบรม
1. ศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร วัดวรจรรยาวาส ถนนเจริญกรุง 72 กรุงเทพมหานคร โทร.292-0194
ข้อแนะนำ
ขั้นตอนการทำหน้าขนม ต้องกวนหน้าขนมด้วยความเร็ว ห้ามหยุดมือโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นแป้งข้าวจ้าวจะจับตัวกันแน่น
ขายขนมโตเกียว
เงินลงทุน
ประมาณ 8,000 บาท (รถเข็น 3,000 บาท - 4,000 บาท เตาแก๊สพร้อมกระทะสี่เหลี่ยม 2,500 บาท ตู้กระจก 700 บาท)
รายได้
ประมาณ 500 บาทขึ้นไป / วัน
วัสดุ / อุปกรณ์
รถเข็น เตาแก๊สแบบมีกระทะทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า หม้อ ตู้กระจกขนาดเล็ก กะละมัง ทัพพีกลมขนาดเล็ก เกรียง ภาชนะใส่ไส้ขนม
แหล่งจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์
เวิ้งนาครเกษม สำเพ็ง
ส่วนผสมแป้ง
แป้งสาลี 1.5 กิโลกรัม ไข่ไก่ 10 ฟอง
นมสด 1 กระป๋องนม ผงฟู 15 กรัม
น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม เกลือป่น 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1. นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมรวมกันในกะละมัง ใช้มือนวด คลุกเคล้าให้เข้ากัน
2. เมื่อนวดแป้งได้ที่แล้ว แบ่งแป้ง 250 กรัมไว้ทำไส้ครีม ส่วนที่เหลือคือแป้งทำขนมโตเกียว
วิธีทำไส้ครีม
1. นำแป้งที่นวดแล้ว 250 กรัม ใส่หม้อตั้งไฟอ่อน ๆ เคี่ยวพร้อมกับน้ำตาลทราย 500 กรัม เนยสด 125 กรัม เคี่ยวจนกระทั่งส่วนผสมเป็นเนื้อเดียวกัน จะได้ไส้ครีมเนย
2. หากต้องการทำไส้ครีมใบเตย ให้แบ่งไส้ครีมเนยมาครึ่งหนึ่ง แล้วนำใบเตยประมาณ 3 - 4 ใบ บดให้ละเอียดใส่น้ำ 1/3 ถ้วยตวง ผสมกับใบเตยบด คั้นเอาเฉพาะน้ำ นำครีมเนยที่แบ่งไว้ขึ้นตั้งไฟอ่อน ๆ เทน้ำใบเตยลงไปผสม เคี่ยวจนเป็นเนื้อเดียวกัน จะได้ไส้ครีมใบเตย
วิธีทำไส้ไส้กรอก
1. นำไส้กรอกประมาณ 1 กิโลกรัม มาหั่นเป็นท่อน ๆ ละประมาณ 1 นิ้ว
วิธีทำไส้ไข่นกกระทา
1. ใช้ไข่นกกระทาประมาณ 50 ฟอง พริกไทยป่น 1 ขวดเล็ก และนำหมูบดประมาณ 250 กรัม มาลวกในน้ำเดือดจนสุก
วิธีทำขนมโตเกียว
1. ใช้ทัพพีกลมตักเนื้อแป้งที่เตรียมไว้หยอดลงในกระทะ ใช้ก้นทัพพีละเลงแป้งเป็นรูปวงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 1/2 นิ้ว
2. หากเป็นไส้ไข่นกกระทา ให้ตอกไข่ลงบนแป้ง เมื่อแป้งและไข่สุกใส่หมูบดลงไปเล็กน้อย โรยพริกป่น แต่ถ้าเป็นไส้ครีมและไส้ไส้กรอก เมื่อแป้งสุกจึงตักไส้ใส่ลงไป
3. ใช้เกรียงแซะแผ่นแป้งทางด้านล่างพร้อมกับม้วนแป้งให้ปิดไส้ ก็จะได้ขนมโตเกียวตามที่ลูกค้าต้องการ
ตลาด / แหล่งจำหน่าย
ย่านชุมชน หมู่บ้านจัดสรร โรงเรียน
ข้อแนะนำ
1. นอกจากไส้ชนิดต่าง ๆ ดังกล่าวมาข้างต้นแล้ว สามารถปรับปรุงเพิ่มเติมเป็นไส้อื่น ๆ อีก เช่น ไส้เผือก ไส้ข้าวโพดหวาน เป็นต้น
2. การขายขนมโตเกียว ไม่ควรทำไว้รอลูกค้ามาซื้อ เมื่อลูกค้าสั่งขนมจึงค่อยลงมือทำ เพื่อให้ขนมโตเกียวมีความใหม่ กรอบ และร้อนน่ารับประทาน
ขายขนมปัง - สังขยา และนมสด
เงินลงทุน
ครั้งแรกประมาณ 6,000 บาท ขึ้นไป (ไม่รวมค่าเช่าสถานที่) (เตาแก๊สพร้อมถัง ราคาประมาณ 2,500 บาท ตู้กระจก ราคา 2,000 บาท นมสดราคาประมาณ 16 บาท / กิโลกรัม)
รายได้ ประมาณ 800 - 1,000 บาท / วัน
วัสดุ/อุปกรณ์
เตาแก๊สพร้อมถัง ตู้กระจก หม้อ ทัพพี ซึ้งนึ่ง ผ้าขาวบาง จาน ถ้วย แก้ว ถุงพลาสติก และหลอดดูด
แหล่งจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์
ร้านค้าทั่วไป ห้างสรรพสินค้า แหล่งจำหน่ายนมสด ฟาร์มโคนมต่าง ๆ
วิธีทำ
นำขนมปังที่ใหม่ เนื้อนุ่ม และมีกลิ่นหอมมาหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมพอคำ แล้วนำไปนึ่งให้อุ่น
เสริฟใส่จานหรือใส่ถุงให้ลูกค้าพร้อมสังขยา
ส่วนผสมสังขยาทาขนมปัง (กลิ่นใบเตย)
มะพร้าวขูดขาว 1/2 กิโลกรัม นมสดจืด 1 1/2 ถ้วยตวง น้ำตาลทราย 1 1/2 ถ้วยตวง ไข่ไก่ 3 ฟอง เกลือ 1/3 ช้อนโต๊ะ ใบเตยสด 3 ใบ แป้งสาลี 3 ช้อนโต๊ะ แป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. นำมะพร้าวมาคั้นกับน้ำอุ่น ๆ ให้ได้กะทิ 3 ถ้วยตวง และนำใบเตยสดที่ตำละเอียดมาคั้นกับน้ำ กรองกากใบเตยออก ให้ได้น้ำใบเตย 5 ช้อนโต๊ะ
2. นำนมสดจืดใส่หม้อ ใส่ไข่ (เฉพาะไข่แดง) คนให้เข้ากัน ใส่น้ำตาล เกลือ น้ำกะทิ คนให้เข้ากัน แล้วจึงใส่น้ำใบเตย คนให้ทั่วอีกครั้ง
3. นำแป้งสาลีและแป้งมันละลายน้ำเล็กน้อย ค่อย ๆ เทใส่ผสมลงในหม้อ คนให้เข้ากันทั้งหมด
4. นำหม้อขึ้นตั้งไฟอ่อน ๆ คนไปเรื่อย ๆ จนแป้งขึ้นเงาและสุกทั่วจึงยกลง
วิธีทำนมสด
1. นำนมสดที่ซื้อมานึ่งเสียก่อน แล้วจึงผสมกับน้ำตาลทรายขาวในอัตราส่วน นมสด 2 - 3 ลิตร /น้ำตาลทราย 1 1/2 ถ้วยตวง คนให้ละลายเข้ากัน
2. เมื่อลูกค้าส่งนมสดร้อน ให้นำนมสดที่ผสมแล้วในข้อ 1 ไปอุ่นให้ร้อนเล็กน้อย หากสั่งนมสดเย็น ก็ใส่น้ำแข็งเสริฟใส่แก้วหรือถุงให้ลูกค้า
ตลาด / แหล่งจำหน่าย
ตลาดโต้รุ่ง ย่านชุมชน บริเวณใกล้โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย หรือเช่าพื้นที่ของศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า
สถานที่ฝึกอบรม
1. สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตพระนครใต้ โทร. 02-2112052,2112056
2. ชมรมลุงขาวไขอาชีพ โทร.538-3981
ข้อแนะนำ
1. ควรสั่งซื้อนมสดมาจำหน่ายเฉพาะที่ต้องการใช้ในแต่ละวันเพื่อความใหม่สดของ น้ำนม เพราะอายุของนมสดจะอยู่ได้เพียงวันเดียว แต่ถ้ามีเหตุให้ต้องเหลือไว้จริง ๆ ให้เก็บรักษาไว้ในตู้เย็น
2. หากมีเงินลงทุนมาก อาจเปิดเป็นร้านจำหน่าย โดยตกแต่งให้ทันสมัย น่ารัก มีโต๊ะ - เก้าอี้ และภาชนะต่าง ๆ ที่เสริฟแล้วดูสวยงาม มีเครื่องต้มนมสดและเครื่องทำความเย็นแบบมีก๊อกเปิด - ปิด เพื่อรินนมใส่แก้ว เป็นต้นนอกจากนี้ ควรดัดแปลงให้มีการจำหน่ายหลากหลายขึ้น โดยปรุงแต่งนมสดรสชาติต่าง ๆ เช่น นมสด
รสโกโก้ นมสดรสกาแฟ นมแดง นมถั่วแดง ฯลฯ รวมทั้งขนมปังต่าง ๆ เช่น ขนมปังปิ้งทาแยม ทาเนย ทาน้ำพริกเผา เป็นต้น
ขายขนมเบื้องไทย
เงินลงทุน
ครั้งแรกประมาณ 9,000 - 10,000 บาท (เตาแก๊สชนิดที่มีกระทะสี่เหลี่ยมผืนผ้าติดมาด้วย ราคาประมาณ 4,000 -5,000 บาท รถเข็นราคาประมาณ 4,000 บาท)
รายได้
ประมาณ 500 บาท/วัน
วัสดุ/อุปกรณ์
เตาแก๊สพร้อมกระทะทำขนมเบื้อง กระจ่า (ใช้ละเลงแป้ง) เหล็กโป๊ว(ใช้แซะขนมเบื้อง) กะละมัง ที่ตีไข่ หรือส้อม ถุงพลาสติก
ส่วนผสมแป้ง
แป้งข้าวจ้าว 3 ถ้วยตวง ถั่วเขียวป่นละเอียด 1 ถ้วยตวง
ไข่ไก่ 2 ฟอง น้ำปูนใส
น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง
วิธีทำ
นำแป้งข้าวจ้าว ถั่วเขียวคั่วป่น น้ำตาลทรายและไข่ไก่มาผสมรวมกัน จากนั้นเติมน้ำปูนใสลงในแป้ง ค่อยๆ นวดแป้งพร้อมกับทยอยเติมน้ำปูนใสที่ละน้อยจนแป้งเข้ากับส่วนผสมอื่นเป็น เนื้อเดียวกัน ใช้เวลานวดประมาณ 10 นาที แล้วจึงเติมน้ำปูนใสที่เหลือจนหมดคนให้เข้ากัน
ส่วนผสมหน้าน้ำตาล (ครีมขาว)
ไข่ขาวของไข่เป็ด 1 ฟอง น้ำตาลปี๊บ 4 ขีด
วิธีทำ
นำไข่ขาวผสมกับน้ำตาลปี๊บ ใช้ที่ตีไข่หรือส้อมตีส่วนผสมให้เข้ากันจนส่วนผสมมีสีขาวลักษณะคล้ายครีมเป็นอันใช้ได
ส่วนผสมไส้เค็ม
รากผักชีหั่นฝอย 1 ช้อนโต๊ะ กระเทียม 5 กลีบ
พริกไทยป่น 1 ช้อนชา มะพร้าวขูดขาว 1 ถ้วยตวง
เกลือป่น 2 ช้อนชา น้ำตาลทราย 4 - 5 ช้อนโต๊ะ
กุ้งสดสับเป็นชิ้นเล็กๆ 1/2 ถ้วยตวง สีผสมอาหารสีส้มและน้ำมันพืชเล็กน้อย
วิธีทำ
1. นำรากผักชีหั่นฝอย กระเทียม และพริกไทยป่น โขลกรวมกันจนละเอียด
2. นำกระทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันเล็กน้อยจนน้ำมันร้อนพอเห็นควันขึ้นขาว แล้วจึงนำส่วนผสมข้อ 1. ลงผัดจนสุกหอมได้ที่
3. ใส่มะพร้าวขูดขาวและกุ้งสดสับลงไปผัดรวมกันจนสุก เติมสีผสมอาหารสีส้มพอให้เกิดสีสวยน่ารับประทาน
4. ปรุงรสด้วยเกลือป่นและน้ำตาลทราย แล้วตักขึ้นจากกระทะใส่ภาชนะพักไว้
ส่วนผสมไส้หวาน
ฝอยทอง 2 ถ้วยตวง มะพร้าวแก้ขูดฝอยเป็นเส้นยาว 2 ถ้วยตวง งาขาว 1/2 ถ้วยตวง
วิธีทำขนมเบื้อง
1. ใช้กระจ่าตักแป้งที่เตรียมไว้ละเลงลงบนกระทะ โดยบี้แป้งให้เป็นวงกลมแบน เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้ว รอจนแป้งสุกขาว
2. ใช้กระจ่าตักหน้าน้ำตาลพอประมาณทาบนแผ่นแป้ง โดยวนให้อยู่รอบๆขอบแผ่นแป้ง
3. เมื่อหน้าน้ำตาลร้อนจนเดือดเป็นฟองอากาศ จึงตักไส้เค็มใส่ลงไปและเด็ดใบผักชีใส่ลงไปสัก 1 ใบ ส่วนไส้หวานให้ตักฝอยทอง งาขาว และมะพร้าวขูดฝอยเป็นเส้นใส่ลงไปพอประมาณ
4. เมื่อแป้งเริ่มเกรียมกรอบให้แซะแป้งขึ้นพับครึ่งวงกลมตักใส่ถุงหรือกล่องกระดาษขาย
ตลาด/แหล่งจำหน่าย
ตลาดทั่วไป แหล่งชุมชน
ข้อแนะนำ
1. ต้องผัดส่วนผสมของไส้เค็มให้แห้ง หากไม่แห้งเมื่อตักใส่แป้งจะทำให้แป้งเหนียวไม่กรอบ
2. ต้องละเลงแป้งให้บาง เพื่อความน่ารับประทาน และทำให้ได้จำนวนมากขึ้น
3. อัตราส่วนดังกล่าวข้างต้นสามารถทำขนมเบื้องได้ 700 - 800 ชิ้น
ขายส้มโอแก้วสี่รส
เงินลงทุน
ประมาณ 500 - 1,500 บาท
รายได้
200 - 500 บาท/วัน
วัสดุ/อุปกรณ์
ภาชนะถาดอะลูมิเนียมหรือสแตนเลส หม้อขนาดกลางและขนาดใหญ่ เตาแก๊ส เครื่องปั่นผลไม้ กะทะทองเหลือง ไม้พาย กระดาษแก้วสีเหลือง/แดง
แหล่งจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์
ร้านขายเครื่องครัวเรือนทั่วไป
ส่วนผสม
เนื้อเยื่อส่วนกลางของผลส้มโอ (หรือนวม) บดละเอียด 5 ถ้วย
น้ำตาลทรายขาว 3 ถ้วย แบะแซ 1/2 ถ้วย
เกลือไอโอดีน 1 ช้อนโต๊ะ กรดซิตริก 1 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูสด 3 ผล
วิธีทำ
1. ปอกเปลือกผิวส้มโอให้หมด เหลือแต่เนื้อเยื่อส่วนกลางของส้มโอ
2. หั่นเนื้อเยื่อส่วนกลางหรือนวมเป็นชิ้นแล้วนำไปขยำกับน้ำเปล่า 2 - 3 ครั้ง
3. นำเนื้อเยื่อส่วนกลางที่ขยำกับน้ำแล้วไปต้มให้เดือด แล้วตักใส่น้ำเย็น ทำสัก 2 - 3 ครั้ง จนหายขมแล้วนำไปบดและปั่นให้ละเอียด
4. นำเนื้อเยื่อส่วนกลางที่บดละเอียดแล้ว ผสมกับน้ำตาลทราย เกลือและกรดซิตริกตามอัตราส่วนที่กำหนดลงในกระทะทองเหลือง แล้วใช้ไม้พายกวนโดยใช้ไฟให้ความร้อนระดับปานกลาง กวนไปเรื่อย ๆ จนเหลือง
5. ใส่แบะแซและพริกขี้หนูสดที่บดละเอียด ตักขึ้นมาทดลองปั้นดู ถ้าปั้นเป็นก้อนได้ ก็ยกลงจากเตาแก๊ส แล้วนำมาปั้นเป็นลูกกลม ๆ คลุกด้วยน้ำตาลทรายขาวปนเกลือ
6. ห่อด้วยกระดาษแก้ว เพียงเท่านี้ก็จะได้ส้มโอแก้วสี่รส ทั้งหวานเปรี้ยวเผ็ดผสมกัน บรรจุใส่ถุงพลาสติกขาย
ตลาด / แหล่งจำหน่าย
ร้านขายของที่ระลึก ร้านกิ๊ฟท์ช้อป
ข้อแนะนำ
วัตถุดิบเปลือกส้มโอ ให้ซื้อจากพ่อค้าแม่ค้าที่ขายเนื้อส้มโอ และควรใช้เปลือกส้มโอพันธ์ท่าข่อย ซึ่งมีมากแถบจังหวัดชัยนาท เพราะมีเปลือกหนามีเนื้อส่วนกลางส้มโอเยอะ
ทำกล้วยกรอบแก้ว หวาน – เค็ม
เงินลงทุน
ประมาณ 2,000 บ.
รายได้
30 40 บาท/ 1 กิโลกรัม
วัสดุ/อุปกรณ์
กระทะใบบัว 2 ใบ
ตะแกรงลวด 3 อัน
กะละมัง ถาดสแตนเลส
ถุงบรรจุ ที่ใส่กล้วย
หม้อ
แหล่งจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์
ร้านค้า และห้างสรรพสินค้าทั่วไป
วิธีทำกล้วยกรอบแก้วหวาน
1. เตรียมทำน้ำเชื่อม โดยใช้น้ำตาล 1 กิโลกรัม ต่อน้ำเปล่า 2 กิโลกรัม ใส่ลงในหม้อตั้งไฟ เคี่ยวจนเป็นน้ำเชื่อมใส ๆ แล้วพักทิ้งไว้ให้เย็น
2. นำน้ำเปล่าใส่กะละมัง เติมน้ำส้มสายชูลงไปเล็กน้อย แล้วชิมรสให้น้ำพอมีรสกร่อย ๆ ไม่ต้องออกรสเปรี้ยว
3. นำกล้วยดิบมาปอกเปลือก เสร็จแล้วนำไปแช่น้ำที่ผสมน้ำส้มสายชูจะทำให้กล้วยไม่ฝาดและดำในเวลาทอด
4. นำกล้วยที่แช่น้ำผสมน้ำส้มสายชูไปล้างให้สะอาด แล้วแช่น้ำเปล่าทิ้งไว้ 5 นาที
5. นำกระทะใส่น้ำมันพืชลงไปตั้งไฟให้ร้อน จากนั้นก็นำผลกล้วยที่แช่อยู่ในน้ำมาไสเป็นแผ่นบาง ๆ ฝานลงไปทอดเลย จนกล้วยนิ่มมีสีเหลืองลอยขึ้นมา ใช้ตระแกรงตักขึ้นเขย่าให้สะเด็ดน้ำมัน
6. นำกล้วยที่ทอดแล้วกำลังร้อน ๆ มาเทลงในน้ำเชื่อม แล้วใช้ตระแกงอันใหม่กดให้กล้วยจมลงในน้ำเชื่อมทั่วถึงกัน แล้วตักออกมาใส่กระจาดไม้ไผ่ ผึ่งไว้ให้กล้วยสะเด็ดน้ำเชื่อมสักครู่ แล้วนำกล้วยกลับมาทอดอีกครั้งโดยใช้กระทะใบใหม่ ตั้งน้ำมันให้ร้อน ทอดให้กล้วยมีสีเหลืองเข้มกว่าเดิมเล็กน้อย นำขึ้นมาผึ่งให้สะเด็ดน้ำมันอีกครั้งทิ้งไว้ให้เย็นแล้วนำมาบรรจุถุงพร้อม จำหน่ายทันที
กล้วยกรอบแก้วแบบเค็ม
วิธีการทำเหมือนกับแบบหวาน แต่จะทอดครั้งเดียวเท่านั้น การทอดแบบกรอบเค็มต้องทอดให้มีสีเหลืองกว่าแบบกรอบหวาน ในระหว่างที่ทอดก็เตรียมถาดสแตนเลสทาด้วยเนยเค็มให้ทั่ว แล้วนำกล้วยที่เพิ่งทอดเสร็จร้อน ๆ เทคลุกเคล้าให้เนยเข้ากับกล้วยในถาดชิมรสชาติดูหากต้องการเค็มเพิ่มขึ้นก็ ให้โรยเกลือไอโอดีนเล็กน้อย คลุกให้เข้ากันอีกครั้งทิ้งไว้ให้เย็น ก่อนบรรจุถุงขาย
ตลาดจำหน่าย
แหล่งชุมชน สถานศึกษา ร้านค้าทั่วไป
ข้อแนะนำ
1. ควรเลือกใช้กล้วยหอม เพราะมีคุณภาพเนื้อกล้วยที่ดีมีกลิ่นหอมในตัวทอดแล้วไม่กระด่าง มีสีสวย
2. น้ำมันที่ใช้ทอดไม่ควรเกิน 2 ครั้ง เพราะอาจมีกลิ่นของน้ำมันติดเนื้อกล้วย
3. การบรรจุถุงควรให้ดูสวยงาม น่ารับประทาน นำไปขายเองหรือส่งขาย
เยลลี่ฝรั่ง
เงินลงทุน
10,000 บาท
เครื่องสกัดน้ำผลไม้ 2,000 – 3,000 บาท
เครื่องวัดความหวานและปริมาณของแข็ง 3,500 – 4,000 บาท บาท
รายได้
300 – 400 บาท (96 บาท ต่อ 16 ถ้วย)
วัสดุ/อุปกรณ์
เครื่องสกัดน้ำผลไม้ เครื่องชั่งน้ำหนักขนาดเล็ก
เทอร์มอมิเตอร์วัดอุณหภูมิ เครื่องวัดความหวาน
เครื่องวัดค่าความเป็นกรดเป็นด่าง pH ถุงมือ
ถ้วยเยลลี่
แหล่งจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์
ร้านขายอุปกรณ์เคมี
ส่วนผสม
น้ำฝรั่งสด 300 กรัม น้ำตาลทราย 250 กรัม
คาราจีแนน 7 กรัม น้ำเปล่า 443 กรัม
วิธีการเตรียมน้ำฝรั่ง
1. นำฝรั่งที่แก่จัด ล้างให้สะอาดแล้วผึ่งให้แห้ง ใช้มีดเฉาะแยกเมล็ด และเนื้อออกจากกัน นำเนื้อฝรั่ง เข้าเครื่องสกัดน้ำผลไม้ หรือเครื่องแยกกากจะได้น้ำฝรั่งล้วน ๆ
2. วัดปริมาณสารละลายทั้งหมดในน้ำฝรั่ง 7 % ด้วยเครื่องวัดปริมาณของแข็งที่ละลาย แล้ววัดค่า pH ให้ได้ 3.13 โดยเติมกรดมะนาว 10 กรัม ต่อ น้ำฝรั่ง 1 กิโลกรัม
3. ฝรั่ง 1 กิโลกรัม จะได้น้ำฝรั่งประมาณ 300 กรัม
การทำเยลลี่
ชั่งน้ำตาลทรายและคาราจีแนน ปริมาณตามสูตร แล้วผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน ชั่งน้ำเปล่าให้ได้น้ำหนักตามสูตร นำไปตั้งไฟพออุ่นแล้วค่อยเทส่วนผสมของน้ำตาลทรายกับคาราจีแนนลงไปทีละน้อย พร้อมกับคนไปเรื่อย ๆ จะละลายเข้ากับน้ำจนหมดนำผลฝรั่งที่เตรียมไว้เทลงในน้ำเชื่อมจนหมด ต้มด้วยอุณหภูมิ 85 องศาเซลเซียส นาน 3 นาที แล้วยกลงเทใส่ถ้วยที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ปิดฝาติดสติ๊กเกอร์แช่เย็นพร้อมจำหน่าย
ข้อแนะนำ
ภาชนะที่ใช้ผลิตควรเป็นสแตนเลส และควรใส่ถุงมือระหว่างการผลิต เยลลี่ที่ดีจะต้องไม่มีเนื้อฝรั่งมาเจือปน มีความยืดหยุ่นไม่แข็งกระด้าง
เยลลี่มะม่วง
เงินลงทุน
10,000 บาท
รายได้
150 – 200 บาท/25 ถ้วย
วัสดุ/อุปกรณ์
เครื่องสกัดน้ำผลไม้ เครื่องชั่งน้ำหนักขนาดเล็ก เทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิ เครื่องวัดความหวาน ถ้วยเยลลี่
แหล่งจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์
ร้านวิทยาศรม
ส่วนผสม
น้ำมะม่วง 100 กรัม น้ำตาลทราย 75 กรัม คาราจีแนน 5 กรัม กรดมะนาว 1 กรัม น้ำ 319 กรัม
วิธีทำ
ตัดมะม่วงสุกเหลืองล้างให้สะอาด นำไปลวกในน้ำเดือด 3 – 5 นาที ตักขึ้น ใช้มีดแบ่งออกเป็น 2 ซีก ใช้ช้อนตักเอาแต่เนื้อออกจากเปลือกและเมล็ด แล้วนำไปใส่เครื่องสกัดผลไม้หรือเครื่องแยกกาก แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง (มะม่วง 1 กิโลกรัม จะได้น้ำ 500 กรัม) น้ำเชื่อม ชั่งน้ำตาล คาราจีแนน และกรดมะนาวตามส่วน คลุกเคล้าให้เข้ากันเป็นอย่างดี ชั่งน้ำสะอาดตามน้ำหนักแล้วนำไปตั้งไปต้มให้พออุ่น ๆ แล้วค่อย ๆ เทส่วนที่ผสมแล้วลงไปที่ละน้อย คนไปเรื่อย ๆ จนเข้ากันหมด การผสมเยลลี่ นำมะม่วงที่เตรียมไว้เทลงไปในน้ำเชื่อมคนให้ส่วนผสมเป้นเนื้อเดียวกัน แล้วนำไปต้มอุณหภูมิ 85 องศาเซลเซียส นาน 3 นาที แล้วยกลงตักใส่ภาชนะบรรจุเยลลี่ที่ปิดฝา จะได้เยลลี่มะม่วงประมาณ 500 กรัม โดยเก็บไว้ในตู้เย็นได้นาน 1 เดือน
ข้อแนะนำ
ลักษณะของเยลลี่ที่ดีต้องมีความใสเป็นประกาย ยืดหยุ่นไม่แข็งกระด้างเหมือนวุ้นและไม่มีส่วนผสมของเนื้อผลไม้
เยลลี่ผลไม้รวม
เงินลงทุน
10,000 บาท
รายได้
100 – 200 บาท
วัสดุ/อุปกรณ์
เครื่องสกัดน้ำผลไม้ เครื่องชั่งน้ำหนักขนาดเล็ก เทอร์มอมิเตอร์วัดอุณหภูมิ เครื่องวัดความหวาน เครื่องวัดค่าความเป็นกรดเป็นด่าง pH ถุงมือ ถ้วยเยลลี่
ส่วนผสม
น้ำสับปะรด 250 กรัม น้ำแครอท 200 กรัม น้ำตาลทราย 150 กรัม คาราจีแนน 7 กรัม น้ำเปล่า 393 กรัม
วิธีทำ
1. น้ำแครอท โดยนำแครอทสดมาล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นตามยาว นำไปลวกในน้ำเดือด 1 นาที แล้วนำไปเข้าเครื่องสกัดน้ำผลไม้ กรองน้ำแครอทด้วยผ้าขาวบาง
2. น้ำสับปะรด คัดเลือกสับปะรดแล้วปอกเปลือก เจาะจาและแกนออก หั่นเป็นชิ้น ๆ ตามยาว นำสับปะรดหั่นแล้วเข้าเครื่องสกัดน้ำผลไม้ กรองด้วยผ้าขาวบาง
3. น้ำเชื่อม นำน้ำตาลทรายและคาราจีแนนผสมให้เข้ากันตามสูตร ชั่งน้ำสะอาดตามน้ำหนัก แล้วนำไปตั้งไฟ ต้มพอให้อุ่น ๆ แล้วค่อย ๆ เทส่วนผสมของคาราจีแนน และน้ำตาลทราย ลงทีละน้อยพร้อมทั้งคนไปเรื่อย ๆ จนส่วนผสมละลายน้ำเข้ากันหมด การทำเยลลี่ผลไม้ นำสับปะรด และน้ำแครอทที่เตรียมไว้ เทผสมไว้ในน้ำเชื่อมคนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน แล้วต้มด้วยอุณหภูมิ 85 องศาเซลเซียส นาน 3 นาที ยกลงเทใส่ภาชนะหรือถ้วยเยลลี่ (สับปะรด แครอท 4 กิโลกรัม จะได้เยลลี่ประมาณ 1 กิโลกรัม)
ข้อแนะนำ
ควรทำเยลลี่ให้มีความใส ยืดหยุ่นไม่แข็งกระด้างเหมือนวุ้นและไม่มีส่วนผสมของเนื้อผลไม้
ขนมชั้น
ส่วนผสม
แป้งข้าวมัน ½ กิโลกรัม แป้งท้าวยายม่อม 1 ขีด มะพร้าวขูด 1 กิโลกรัม แป้งข้าวจ้าว 1 ขีด น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม
วิธีทำ
1. คั้นกะทิจากมะพร้าวให้ได้ 5 ถ้วยตวง
2. นำน้ำตาลทรายใส่น้ำ 2 ถ้วยตวง ตั้งไฟให้ละลายพอเดือดยกลงปล่อยให้เย็น
3. นำแป้งทั้งหมดรวมกันนวด โดยหยอดหัวกะทิสลับด้วยน้ำเชื่อมจนหมดแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง
4. แบ่งแป้งไว้ส่วนหนึ่งเพื่อผสมสีไว้หยอดหน้า ตักขนมหยอดในถาดอย่าให้หนาหรือบางเกินไป นึ่ง 5 นาที ถ้ายังไม่สุกอย่าหยอดแป้งทับ จะทำให้ขนมไม่สุก (1 ถาดจะได้ 6 ชั้น) ชั้นหน้าให้ใส่สีให้สวยงาม
หมายเหตุ
อาจใช้ใบเตยแทนสีและถ้าชอบกาแฟจะใส่กาแฟแทนสีขนมก็ได้
ทองหยิบ
ส่วนผสม
ไข่แดง (ไข่เป็ด) 2 ฟอง น้ำตาลทราย 5 ถ้วยตวง น้ำ 2.5 ถ้วยตวง กลิ่นมะลิ 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1. นำน้ำตาลทราย น้ำกลิ่นมะลิมาผสมกัน ยกขึ้นตั้งไฟพอเดือด แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง
2. ไข่แดงใส่ผ้ากรองแล้วรีดออก ตีให้ขึ้นด้วยที่ตีไข่ประมาณ 5 นาที
3. กระทะใส่น้ำเชื่อม ตั้งไฟพอเดือด ยกลงแล้วตักไปหยอดทีละช้อนให้เป็นเหรียญกลม
4. ยกขึ้นตั้งไฟอีกครั้งให้น้ำเชื่อมเดือด พอด้านล่างสุก กลับเอาด้านบนลง เร่งไฟให้น้ำเชื่อมเดือด พอสุกตักขึ้นใส่ถาด พักไว้ให้อุ่น
5. ใช้นิ้วมือแตะน้ำเชื่อมที่เย็นแล้ว จับจีบ 5 - 6 จีบ ใส่ถ้วยเล็ก ๆ พักไว้ให้เย็นจึงเคาะออกจากถ้วยตะไล
ขนมสาลี่
ส่วนผสม
แป้งสาลีตราบัวแดง 4 ถ้วย (400 กรัม) (ถ้าต้องการให้กลิ่นหอมใช้แป้ง 5 ถ้วย) ไข่ไก่ใหม่ 3 ถ้วย ครีม เอส พี 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 3 ถ้วย น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำเย็น ½ ถ้วย น้ำหอมตามชอบ 2 ช้อนชา สีผสมอาหารเล็กน้อย
วิธีทำ
1. นำไข่ไก่ น้ำตาลทราย และน้ำ ตีจนน้ำตาลละลายฟู นำครีม เอส พี ใส่ลงไปตีจนไข่ฟูขึ้นขาว ใส่สี กลิ่นน้ำหอม น้ำมะนาว
2. ผสมแป้งสาลีตราบัวแดงใส่ไข่ไก่คนเบา ๆ จนแป้งเข้ากันดี(ก่อนนำแป้งไปผสมต้องร่อนก่อน)
3. เทใส่ถาดสี่เหลี่ยมแล้วนำไปนึ่งในลังถึงที่น้ำเดือดพล่าน ไฟแรง ประมาณ 20 นาที หรือจนกว่าขนมจะสุก
ข้อแนะนำ
การทดสอบขนมสุกหรือไม่ให้ใช้ไม้เล็ก ๆ แทงลงในขนม ถ้าไม่มีขนมติดไม้แสดงว่าขนมสุกแล้ว
บัวลอยน้ำขิง - งาดำ
เงินลงทุน
ประมาณ 5,000 บาท
รายได้
1,200 - 1,500 บาท / 150 กล่อง
วัสดุ / อุปกรณ์
เตาแก๊ส เตาถ่าน กระทะ ถาดอลูมิเนียม ถาดพลาสติก หม้ออลูมิเนียมเบอร์ 45 กะละมัง
สแตนเลส ครกหินขนาดใหญ่ หม้อต้มน้ำซุปก๋วยเตี๋ยว ตะกร้าพลาสติก กระชอน กระบวย ถังน้ำพลาสติก
แหล่งจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์
แถวย่านเวิ้งนาครเกษม ร้านค้าที่ขายอุปกรณ์ทำขนมทั่วไป ร้านค้าที่ขายอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือน
ส่วนผสม
งาดำที่คัดเมล็ดเสียทิ้งแล้ว 10 กิโลกรัม น้ำตาลทรายขาว 1 กิโลกรัม น้ำตาลทรายแดง 2 กิโลกรัม น้ำตาลปี๊บ 2 กิโลกรัม แป้งข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม ขิงแก่ 3 กิโลกรัม น้ำอุ่น 1 ลิตร น้ำสะอาด
วิธีทำ
ขั้นตอนทำไส้งาดำ
1. นำงาดำมาล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นตั้งกระทะใช้ไฟอ่อนคั่วงาดำพอให้มีกลิ่นหอมแล้วตักขึ้น แล้ว เอามาโขลกให้ละเอียดด้วยครกหิน
2. นำกระทะตั้งไฟอ่อนอีกครั้ง ใส่น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทรายขาว เคี่ยวจนน้ำตาลปี๊บละลายเข้ากับน้ำตาลทรายขาว ใส่งาดำที่โขลกละเอียดลงไปเคี่ยวให้เข้ากันจนข้น แล้วตักใส่กะละมังสแตนเลส พักไว้ให้เย็น แล้วปั้นเป็นก้อนกลม ๆ ขนาดเล็กกว่าลูกชิ้นเตรียมไว้
ขั้นตอนทำแป้งบัวลอย
1. นำแป้งข้างเหนียวเทลงในกะละมังสแตนเลส ค่อย ๆ เทน้ำอุ่นลงไปใช้มือนวดไปเรื่อย ๆ จนกว่าแป้งจะเหนียวเข้าที่ พักไว้
ขั้นตอนการทำบัวลอย
1. นำแป้งข้าวเหนียวและไส้งาดำที่เตรียมไว้มาปั้นเป็นขนมโดยหยิบแป้งบัวลอยขนาด เท่าหัวแม่มือแบออกเป็นแผ่น เอาไส้งาดำใส่ลงไปห่อด้วยแป้งแล้วคลึงให้เป็นลูกกลมขนาดเท่าลูกชิ้น เสร็จแล้ววางลงบนถาด อลูมิเนียมที่มีแป้งข้างวเหนียวใส่ทั่วถาด เพื่อป้องกันไม่ให้บัวลอยติดกัน
2. ตั้งกระทะใส่น้ำ 3/4 ของกระทะ ใช้ไฟแรง เมื่อน้ำเดือดแล้วหรี่ไฟปานกลาง ทยอยใส่บัวลอยลงไปต้ม รอจนบัวลอยสุกลอยขึ้นมาเอง ใช้กระชอนตักขึ้นมาใส่ในถังน้ำพลาสติกที่มีน้ำอยู่ประมาณ 1/2 ถัง แล้วค่อยตักขึ้น
3. นำขนมบัวลอยที่ได้มาใส่กล่องพลาสติกใส กล่องละ 5 ลูก เป่าด้วยพัดลมให้เย็นแล้วปิดฝาให้เรียบร้อย
ขั้นตอนการทำน้ำขิง
1. นำขิงแก่มาหั่นเป็นแผ่นบาง ๆ ล้างน้ำให้สะอาด
2. ตั้งหม้ออลูมิเนียมเบอร์ 45 ใส่น้ำ 3/4 ของหม้อ ใส่ขิงลงไปในน้ำ ต้มทิ้งไว้ทั้งคืน พอตอนเช้าก็ถ่ายลงในหม้อต้มซุปก๋วยเตี๋ยวสแตนเลส ใส่น้ำตาลทรายแดงประมาณ 2 กิโลกรัม ตั้งไฟให้ร้อนตลอดเวลา เมื่อจะนำ ออกมาขายบัวลอย 1 กล่อง 5 ลูก ให้ตักน้ำขิงร้อน ๆ ให้ลูกค้า 1 ถุง
ตลาด / แหล่งจำหน่าย
ย่านชุมชน บริเวณที่มีคนเดินพลุกพล่าน
สถานที่ฝึกอบรม
1. สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โทร.942-8460, 579-2294 ต่อ 218-226
ข้อแนะนำ
1. ไม่ควรใส่น้ำตาลในงาดำมากเกินไป เพราะน้ำขิงมีรสหวานอยู่แล้ว ถ้าใส่มากขนมจะหวานเกินไป
2. ขั้นตอนการต้มบัวลอยต้องหรี่ไฟให้อ่อนลง ไม่เช่นนั้นบัวลอยจะติดก้นหม้อ
3. การต้มน้ำขิงควรต้มเวลากลางคืน และเตาที่ต้มควรเป็นเตาถ่านเพราะจะทำให้น้ำร้อนระอุตลอดเวลา